5 วิหารโบราณในอียิปต์
วิหารคาร์นัค (Karnak Temple)
วิหารคาร์นัค (Karnak Temple) หรือ Great Temple of Karnak เป็น 1 ใน วิหารโบราณในอียิปต์ วิหารแห่งนี้ตั้งอยู่ที่เมืองลักซอร์ ทางภาคกลางของอียิปต์ วิหารคาร์นักสร้างโดยฟาโรห์เซซอสตริสที่1 (Sesostris I) และอีกหลายพระองค์ต่อมา สร้างขึ้นมาเมื่อประมาณ 4,000 ปีมาแล้ว จุดประสงค์ในการสร้างวิหารแห่งนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นที่ประทับของเทพเจ้าอะมอนรา เป็นมหาวิหารที่ใหญ่แล้วสวยงามที่สุดในประเทศอียิปต์ เป็นวิหารที่บอกถึงเรื่องราวความเป็นมา และยังคงมีร่องรอยอารยธรรมของอียิปต์ ทั้งทางด้านศิลปะโบราณ และวัฒนธรรมของชาวอียิปต์ในยุคนั้นที่ได้บอกถึงเรื่องราวผ่านซากปรักหักพังของมหาวิหารแห่งนี้ หน้าวิหารมีรูปปั้นสฟิงซ์หัวแกะหมอบนำทางไปจนถึงพื้นที่ชั้นในซึ่งแบ่งออกเป็นสามส่วน ส่วนแรกคือ วิหารเทพอามอน ซึ่งเป็นเหมือนประธาน ส่วนที่สองคือ วิหารเทพมอนตู เทพแห่งสงคราม ส่วนที่สามคือ วิหารเทวีมัต มารดาแห่งสรรพสิ่ง ด้านหลังมีสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้สำหรับประกอบพิธีกรรม และชำระล้างให้เกิดความบริสุทธิ์
วิหารคอมออมโบ (Komombo Temple)
วิหารคอมออมโบ (Kom Ombo Temple) หรือที่รู้จักกันในนามของ วิหารสองเทพเจ้า เป็นวัดที่มีความซับซ้อนสวยงามมาก โดยวิหารแห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาเล็ก ๆ ที่ล้ำออกมาถึงแม่น้ำไนล์ สามารถเห็นวิวของแม่น้ำไนล์อันงดงาม สาเหตุที่เรียกวิหารแห่งนี้ว่า วิหารสองเทพเจ้า เพราะถูกสร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้า 2 องค์ คือ บูชาเทพโซเบค ซึ่งเป็นเทพเจ้าที่มีหัวเป็นจระเข้ ชาวบ้านสร้างวิหารนี้ขึ้นมาเนื่องจากในสมัยก่อนโคงน้ำ ตรงที่ตั้งวิหารแห่งนี้จะเป็นจุดที่จระเข้ชอบมานอนเกยอยู่ข้างตลิ่ง ด้วยความเกรงกลัวจระเข้ชาวบ้านจึงสร้างวิหารคอมออมโบขึ้นมา โดยมีนัยว่า เมื่อเราบูชาคารวะต่อเทพแห่งจระเข้โซเบคแล้ว เทพโซเบคจะปกป้องคุ้มภัยไม่ให้ถูกจระเข้ทำร้ายได้ และ เทพฮอรัส (HORUS) มีเศียรเป็นเหยี่ยว เทพเจ้าแห่งการต่อสู้และความกล้าหาญ ถัดไปจากทางซ้ายมือจะเห็นบ่อน้ำ ที่มีปากบ่อเป็นรูปกุญแจโบราณหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า KEY OF LIFE สร้างขึ้นมาด้วยภูมิปัญญาของคนโบราณเอาไว้ใช้วัดความสูงของแม่น้ำไนล์เพื่อเก็บภาษีประจำปี
วิหารลักซอร์ (Luxor Temple)
วิหาร ลักซอร์ (Luxor Temple) วิหารลักซอร์เป็นหนึ่งในวิหารที่มีชื่อเสียงที่สุดของอียิปต์ ด้วยความยิ่งใหญ่ของตัวสถาปัตยกรรม การตกแต่งด้วยงานประติมากรรม และแนวเสาค้ำหลังคาที่เรียงตัวกันอย่างงดงาม ทำให้วิหารแห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่มีบรรยากาศน่าประทับใจที่สุดแห่งหนึ่ง ถูกสร้างขึ้นโดย ฟาโรห์อเมโนฟิสที่ 3 เพื่อเป็นที่พักผ่อนของเทพเจ้าอะมอนราและครอบครัว มีอายุกว่า 3,400 ปี หน้าวิหารมีเสาโอเบลิสก์ตั้งโดดเด่น 1 ต้น เป็นสัญลักษณ์ของวิหารแห่งนี้ให้ความรู้สึกแข็งแกร่ง เข็มแข็ง มั่นคง ประตูทางเข้าสู่วิหารมีรูปสลักลอยตัวของฟาโรห์รามเสสที่ 2 ประทับนั่งทั้งสองข้าง หลังกำแพงเป็นห้อง Great Court ของรามเสสที่ 2 มีห้องบูชาเทพอะมอนราและครอบครัว และถูกประดับด้วยเสาคู่เรียงราย
วิหารเอ็ดฟู (Edfu Temple)
วิหาร เอ็ดฟู (Edfu Temple) ได้รับการยกย่องว่าเป็นวิหารอียิปต์โบราณที่ยังคงสภาพสมบูรณ์ที่สุด เหมือนกับเพิ่งสร้างเสร็จเมื่อไม่นานมานี้ เป็นวิหารใหญ่สวยงาม ตั้งอยู่ศูนย์กลางของบริเวณที่อยู่อาศัย สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้าฮอรัส มีเศียรเป็นเหยี่ยว เป็นเทพเจ้าแห่งความดีและฉลาดรอบรู้ มองได้ไกลเหมือนตาเหยี่ยว ถูกสร้างขึ้นในช่วงปลายของราชวงศ์ปโตเลมี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่โรมันกำลังขยายอำนาจออกไปทั่วทั้งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และ อำนาจในการปกครองของราชวงศ์ปโตเลมีต่อแผ่นดินอียิปต์ก็อ่อนแอลงอย่างมาก วิหารหลังนี้เนื่องจากสร้างในช่วงปลายยุคกรีก จึงเป็นศิลปะแบบ เกรโก – โรมัน (GRECO – ROMAN) วิหารแห่งนี้ถูกฝังกลบอยู่ใต้ผืนทรายลึก 12 เมตรมาหลายศตวรรษ มีบ้านเรือนผู้คนปลูกสร้างอยู่เหนือวิหาร จนกระทั่งรัฐบาลฝรั่งเศสมาสำรวจ และบูรณะขุดแต่งวิหารกลับมาอีกครั้ง
มหาวิหารอาบูซิมเบล (Abu Simbel Temple)
มหาวิหารอาบูซิมเบล (Abu Simbel Temple) หรือที่เรียกกันอีกชื่อว่า อนุสรณ์สถานแห่งนูเบียเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก้ ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองชัยชนะของอียิปต์จากการสู้รบกับนูเบีย ถูกสร้างขึ้นในสมัยของฟาโรห์รามเสสที่ 2 เป็นการเฉลิมฉลองชัยชนะของอียิปต์จากการสู้รบกับนูเบียและเป็นการขุมขู่นูเบียไม่ให้มายุ่งกับอียิปต์อีก โดยใช้เวลาในการสร้างถึง 20 ปี ต่อมามหาวิหารแห่งนี้ได้ถูกปล่อยให้รกร้าง และทรายปกคลุมจนกระทั่งในปี 1813 โจฮัน ลุดวิก เบิร์คฮารดต์ นักประวัติศาสตร์เกี่ยวกับวัฒนธรรมตะวันออกชาวสวิสเซอร์แลนด์ ได้ค้นพบส่วนบนของมหาวิหารแห่งนี้ แต่ไม่สามารถขุดเข้าไปภายในมหาวิหารได้ใช้เวลาถึง 3 ปีจึงสามารถเข้าไปภายในได้และพบสิ่งของมีค่ามากมายภายในมหาวิหารแห่งนี้ จุดเด่นของวิหารแห่งนี้คือรูปแกะสลักองค์ฟาโรห์รามเลส ที่นั่งประทับอยู่บนบัลลังก์หน้าวิหารถึงสี่องค์ แต่ละองค์มีความสูง 20 เมตร ต่อมาในปี 1964 ได้มีการเคลื่อนย้ายมหาวิหารเนื่องจากเป็นผลมาจากการสร้างเขื่อนอัสวาน ทำให้ระดับน้ำในทะเลสาบนัสเซอร์สูงขึ้น จึงมีการเคลื่อนย้ายเพื่อหนีน้ำ ถูกยกสูงขึ้นถึง 65 เมตร และห่างจากแม่น้ำ 200 เมตร โดยมีองกรค์ยูเนสโก้ให้ความช่วยเหลือใช้งบประมาณกว่า 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ