ซาอุดี อาระเบีย (Saudi Arabia) เป็นรัฐอาหรับในเอเชียตะวันออกกลาง ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองในโลกอาหรับ ภูมิประเทศส่วนใหญ่ประกอบด้วยทะเลทราย ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนซาอุดีอาระเบียจะไม่ได้เปิดให้กับนักท่องเที่ยวที่ไม่ใช่มุสลิมเท่าไรนัก แต่ปัจจุบันที่นี่ได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวจากตะวันตกมากขึ้น เที่ยวชมทะเลทรายและชายฝั่งทะเลอันน่าทึ่ง เมืองอันทันสมัย และโบราณสถานต่าง ๆ สัมผัสวัฒนธรรมอาหรับที่ผสมผสาน กับประวัติศาสตร์ของชาวเบดูอิน 10 ไฮไลท์เที่ยวซาอุดิอาระเบีย มีที่ไหนที่น่าสนใจบ้างมาดูกัน
10 ไฮไลท์เที่ยวซาอุดิอาระเบีย
1. มักกะห์ อัล มูกัรรามะห์ (Makkah al – Mukarramah)
มักกะห์ อัล มูกัรรามะห์ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า มักกะห์ (Makkah) เป็นเมืองที่ชาวมุสลิมจะต้องเดินทางไปให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต เพื่อประกอบพิธีฮัจย์อีกทั้งยังจะเป็นโอกาสที่ชาวมุสลิมทำพิธีละหมาดในสถานที่ที่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในศาสนาอิสลามและเป็นการปฏิบัติตามหลักศาสนบัญญัติให้ครบถ้วนสมบูรณ์ทั้ง 5 ประการอีกด้วย
2. เมืองโบราณเฮกรา (Hegra Historical City)
เมืองโบราณเฮกรา หรือ มาดา’อิน ซาเลห์ (Mada’in Saleh) เป็นเมืองแห่งอารยธรรมยุคราช อาณาจักรแนบาเทีย (Nabataean Kingdom) ถือเป็นแหล่งมรดกโลกแห่งแรกของ ซาอุดีอาระเบีย ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโก เมื่อปี ค.ศ. 2008 และเป็นสถานที่ที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักมากที่สุดในอัลอูลา ตัวเมืองโบราณเฮกรามีพื้นที่ 52 เฮกตาร์ มีหลักฐานว่ามีคนอาศัยอยู่ตั้งแต่เมื่อกว่า 2,200 ปีก่อน และเจริญรุ่งเรืองสุด ๆ ในช่วง 200 ปีก่อนคริสตกาลจนถึง 200 ปีหลังคริสตกาล ส่วนปัจจุบันสิ่งที่หลงเหลือเป็นมรดกที่ชวนตื่นตา ได้แก่ สถาปัตยกรรมสลักหินหรือภูเขาหินซึ่งกระจัดกระจายอยู่กลางทะเลทราย สันนิษฐานว่าสถาปัตยกรรมสลักจากหินเป็น “สุสานของชนชั้นปกครอง” สมัยอาณาจักรแนบาเทียและที่น่าทึ่งก็ทีสุสานเหล่านี้มีมากกว่า 111 แห่ง แต่ที่ยังคงสภาพสมบูรณ์มีราว 94 แห่ง โดดเด่นด้วยการตกแต่งสลักเสลาลวดลายหน้าประตูบนภูเขาหินทรายขนาดใหญ่อย่างวิจิตร
3. สุสานของบุตรแห่งคูซา (Tomb of Lihyan Son of Kuza)
สุสานของบุตรแห่งคูซา หรือฉายา ปราสาทแห่งความเดียวดาย (The Lonely Castle แปลจากภาษาอาหรับ Qasr Al Farid) ถือเป็นไฮไลต์ของสุสานหินที่สลักจากภูเขาหินทรายทั้งลูก เป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรมแบบแนบาเทีย (Nabataean อารยธรรมที่สร้างนครเพตรา) ที่โดดเด่นตั้งตระหง่านอยู่ในอาณาบริเวณของเมืองมรดกโลกเฮกรา จากปริศนาในกรรมวิธีการสลักเสลาหน้าผาหินจากส่วนบนลงล่าง เป็นสุสานของชนชั้นผู้ปกครอง ในยุคอารยธรรมของชาวนาบาเทียนและชาวลิยัน ช่วงอาณาจักรแนบาเทียและลิยันรุ่งเรือง จุดนี้ยังเป็นแลนด์มาร์กของการท่องเที่ยวที่ในบางโอกาสมีการจัดแสดงแสงสีเหนือสุสานให้นักท่องเที่ยวได้ชมเป็นไฮไลต์ของทัวร์มรดกโลกเมืองโบราณเฮกราด้วย
4. ประติมากรรมแท่งหินทราย (Rock Formations)
ในอาณาเขตอัลอูลามีงานประติมากรรมขนาดใหญ่เป็นแท่งหินทรายขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ และกระจายอยู่กลางทะเลทราย ประติมากรรมหินทรายเหล่านี้เกิดจากการกัดกร่อนตามธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นลม ฝน น้ำแดด จนได้เป็นรูปทรงแปลกตาชวนให้จินตนาการ และบางส่วนก็เป็นจุดตั้งแคมป์สำหรับนักท่องเที่ยว ไฮไลต์คือ หินรูปช้าง (Elephant Rock) หรือในภาษาอาหรับเรียกว่า Jabal AlFil ที่รูปร่างเหมือนช้างขนาดใหญ่สูง 52 เมตร เป็นจุดถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกที่อลังการมาก หรืออย่าง หินรูปทรงซุ้มโค้ง (The Arch) เป็นหินที่เป็นซุ้มประตูโค้งสามารถเดินลอดด้านล่างได้ แต่อีกมุมก็มองเหมือนเส้นโค้งกำลังทอดยาวพาดผ่านท้องฟ้าเหมือนรุ้งกินน้ำจึงถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าหินสายรุ้ง (Rainbow Rock) นอกจากนั้นยังมี หินเต้นระบำ (Raqasat หรือ Dancing Rocks) อยู่ที่ Ragasat Valley มีลักษณะเป็นหินกลางทะเลทรายที่ถูกลมและน้ำกัดกร่อนแบบแกรนด์แคนยอน ลักษณะของแท่งหินสูงที่เรียงรายกันเองเอียงเหมือนท่าทางคล้ายคนกำลังเต้นรำอยู่กลางหุบเขา
5. หมู่เกาะฟาราซาน (Farasan Islands Reserve)
เป็นเกาะที่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตทางทะเล และชายหาดที่สวยจนต้องตะลึง เป็นจุดที่เหมาะที่สุดที่จะเริ่มดำน้ำสกูบา ดำน้ำ liveaboard และดำน้ำดูปะการัง นักดำน้ำจะพบกับซากเรือ Boiler Wreck ที่มีชื่อเสียงล้อมรอบด้วยปะการังสีแดงที่โด่งดังของทะเล Red Sea
6. โอเอซิสอัล อะห์ซา (Al Ahsa Oasis)
โอเอซิสอัล อะห์ซา อยู่ทางตะวันออกของคาบสมุทรอาระเบีย ในโอเอซิสประกอบด้วยสวนปาล์ม คลอง น้ำพุ บ่อน้ำ ตลอดจนอาคารบ้านเรือน ตั้งแต่ยุคหินใหม่มาจนถึงปัจจุบัน โดยยังสามารถมองเห็นแหล่งโบราณคดี ทั้งมัสยิด บ่อน้ำ คลอง และระบบการจัดการน้ำ รวมถึงต้นปาล์มหว่า 2.5 ล้านต้น ซึ่งนับเป็นโอเอซิสที่ใหญ่ที่สุดในโลก และยังมีลักษณะเด่นในเรื่องภูมิวัฒนธรรม และเป็นตัวอย่างที่ดีเยี่ยมของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม ในปี 2018
7. หมู่บ้านมรดกอัลอูลา
หมู่บ้านมรดกอัลอูลา เป็นหมู่บ้านที่บ้านดินที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ดีสุดในโลก นักโบราณคดีเชื่อว่ากว่า 800 หลังมีอายุอย่างน้อย 2,000 ปี นอกเหนือจากหมู่บ้านมรดกอัลอูลา นักท่องเที่ยวยังสามารถแวะไปที่ พิพิธภัณฑ์อัลอูลา เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเมือง วัฒนธรรมอิสลาม และพืชพื้นเมืองในฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของซาอุดิอาระเบีย
8. ศูนย์กลางการวิจัยทางโบราณคดี และการอนุรักษ์ (The Kingdoms Institute)
The Kingdoms Institute ศูนย์กลางทางโบราณคดีแห่งใหม่ของโลก จัดตั้งขึ้นด้วยการสนับสนุนจาก Royal Commission for AlUla (RCU) ได้รับการจัดตั้งขึ้นให้เป็นศูนย์กลางทางวิทยาศาสตร์ระดับโลกสำหรับการวิจัยทางโบราณคดี และการอนุรักษ์ โดยมุ่งศึกษายุคประวัติศาสตร์ และยุคก่อนประวัติศาสตร์ของคาบสมุทรอาหรับ รวมทั้งอนุรักษ์มรดกตกทอดในฐานะจุดเชื่อมสามทวีป ได้รับแรงบันดาลใจจากบทบาทของเมืองอัลอูลาในฐานะจุดตัดทางวัฒนธรรม รวมถึงความสำคัญทางประวัติศาสตร์ในการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและการค้าโลก โดยจะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางทางวิชาการและแหล่งรวมวัฒนธรรมทั้งองค์ความรู้ การสำรวจ และแรงบันดาลใจ อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในเสาหลักของโครงสร้างพื้นฐานทางวัฒนธรรมในเมืองอัลอูลา
9. หมู่บ้านศิลปะ (Al Muftaha)
หมู่บ้านที่เกิดจากการปะทะกันระหว่างความดั้งเดิมกับความเป็นสมัยใหม่ ย่านศิลปะสีสันหลากหลายที่มีภาพจิตกรรมฝาผนังและผลงานสร้างสรรค์ของนักเรียนศิลปะท้องถิ่นรวมกันอยู่ในรั้วกำแพงผาสุกของหมู่บ้านเก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่ช่วงกลางปี ค.ศ. 1700 นักท่องเที่ยวสามารถเดินลัดเลาะหมู่บ้านเพื่อชื่นชมความงามของสถาปัตยกรรมและงานศิลปะไปพร้อม ๆ กัน
10. มารายาคอนเสิร์ตฮอลล์ (Maraya Concert Hall)
Maraya Concert Hall คืออาคารกระจกเงาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งแฝงตัวอยู่ท่ามกลางทะเลทราย Arabian พื้นผิวอาคารถูกห่อหุ้มด้วยกระจกเงา UltraMirror ที่พัฒนาโดย Guardian Glass ซึ่งสะท้อนภาพทิวทัศน์โดยรอบลงบนพื้นผิวภายนอกของอาคาร สร้างภาพลวงตาเสมือนอาคารหายไปในสภาพแวดล้อม Maraya โดดเด่นด้วยตัวอาคารรูปทรงกล่องลูกบาศก์ติดกระจกทั้งหลัง มีพื้นที่ 9,740 ตารางเมตรและได้รับการบันทึกจากกินเนสส์บุ๊กเมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. 2020 ให้เป็นอาคารกระจกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และด้วยความที่ตัวอาคารติดกระจกใสทั้งหลังตั้งอยู่กลางทะเลทรายที่มีแต่พื้นทราย และภูเขาหินน้ำตาลแดง Maraya จึงไม่ต่างจากชิ้นงานศิลปะอินสตอเลชันอาร์ตที่สะท้อนเงาของทิวทัศน์ภูเขาแท่งหินที่อยู่รายรอบ ด้านในอาคารยังเป็นสถานที่สำหรับจัดแสดงงานศิลปะ คอนเสิร์ตรองรับได้ 550 ที่นั่งโดยศิลปินระดับสากลที่เคยจัดแสดงที่นี่ได้แก่อันเดรอาโบเชลลี (Andrea Bocelli) ไลโอเนลริชชี (Lionel Richie) และยานนี (Yanni) นอกจากนี้ยังรองรับการจัดงานประชุมระดับโลก รวมถึงรับจัดงานแต่งงานในระดับวีไอพี นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารไฟน์ไดนิงสุดหรูถึง 3 ร้านอยู่ในอาคาร ส่วนชั้นดาดฟ้าเปิดโล่งรับลมทะเลทราย สามารถมองเห็นวิวธรรมชาติของอัลอูลาได้สุดสายตา และเห็นดาวเต็มฟ้าเหนือทะเลทรายในยามค่ำคืน